ท่องเที่ยว เรื่องเล่า ประสบการณ์ และอื่น รวมไว้ที่นี่
เปิดกว้างมุมมอง แจกแจงความคิดเห็น แบ่งปันเรื่องราว
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559
เศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนบ้านทุ่งโพ อ.หนองฉาง
เศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริชุมชนทุ่งโพ หมู่8บ้านทุ่งโพ อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี.
นับว่าชุมชนที่นี่เป็นชุมชนเข้มแข็งอีกชุมชนหนึ่งที่มีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ในการนำชุมชนผ่านพ้นความอยากจนในช่วงฤดูความแห้งแล้ง โดยการนำของผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่8ต.ทุ่งโพ
โดยการนำล้อยางที่ใช้งานไม่ได้มาตัดทำเป็นกระถางต้นไม้ไว้ปลูกพืชผักในช่วงหน้าแร้งช่วยในเรืองของการประหยัดน้ำ
ในด้านการเกษตร
ได้มีการทำน้ำหมักและฮอร์โมนพืช เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี มีทั้งน้ำหมักขี้ค้างคาว ชี้หมู สะเดา และฮอร์โมนไข่ และยังมีการนำพันธุ์ข้าวหินเหล็ก จากการพันาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสนมาปลูกเพื่อจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ซึ่งข้าวพันธ์นี้จะ มีประโยชน์มากในเรื่องของการลดเบาหวาน
วิธีการปลูกข้าวใช้แบบวิธีการโยนกล้า. เพื่อประหยัดรายจ่ายและเมล็ดพันธ์ุ. และยังได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
ด้านอาชีพเสริม
มีการแนะนำอาชีพโดยร่วมกับ กศน.ตำบล มาสอนอาชีพเสริม เช่นการจับผูกผ้า.การสานเครื่องใช้ด้วยกระบอกไม้ไผ่ การสานด้วยเชือกมัดปอฝาง. และยังมีการส่งเสริมอาชีพที่มีในท้องถิ่นที่ทำอยู่เป็นประจำผลักดันให้มีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อการกระจายรายได้สู่คนในชุมชนเช่นการการทำเชื้อเห็ดวาง
ด้านการปกครอง
มีการร่วมกลุ่มการป้องกันและแก้ไข้ปัญหายาเสพติด โดยมีการออกตรวจปัสสาวะในกลุ่มเสียงโดยชุมชมเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยมีการกำหนดระยะเวลาและวิธีการ มีการประชุมและวางแผนกำหนดกติกาของหมู่บ้าน เพื่อให้เดินทางไปในทิศทางเดียวกัน
นับว่าชุมชนบ้านทุ่งโพ. หมู่8 ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง. จ.อุทัยธานีนับว่าเป็นชุมชนที่เข้มแข็งด้วยตนเองที่พร้อมจะขับเคลื่อนชุมชนตนเองเดินหน้า เป็นที่น่าสนใจในการศึกษาดูงานเป็นอย่างมาก
ถ้าหน่วยงานใดต้องการจะศึกษาดูงานได้ที่ 086-0782600 ผู้ใหญ่บ้าน หมู่8 บ้านทุ่งโพ
นับว่าชุมชนที่นี่เป็นชุมชนเข้มแข็งอีกชุมชนหนึ่งที่มีการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ในการนำชุมชนผ่านพ้นความอยากจนในช่วงฤดูความแห้งแล้ง โดยการนำของผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่8ต.ทุ่งโพ
โดยการนำล้อยางที่ใช้งานไม่ได้มาตัดทำเป็นกระถางต้นไม้ไว้ปลูกพืชผักในช่วงหน้าแร้งช่วยในเรืองของการประหยัดน้ำ
ในด้านการเกษตร
ได้มีการทำน้ำหมักและฮอร์โมนพืช เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี มีทั้งน้ำหมักขี้ค้างคาว ชี้หมู สะเดา และฮอร์โมนไข่ และยังมีการนำพันธุ์ข้าวหินเหล็ก จากการพันาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสนมาปลูกเพื่อจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ซึ่งข้าวพันธ์นี้จะ มีประโยชน์มากในเรื่องของการลดเบาหวาน
วิธีการปลูกข้าวใช้แบบวิธีการโยนกล้า. เพื่อประหยัดรายจ่ายและเมล็ดพันธ์ุ. และยังได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
ด้านอาชีพเสริม
มีการแนะนำอาชีพโดยร่วมกับ กศน.ตำบล มาสอนอาชีพเสริม เช่นการจับผูกผ้า.การสานเครื่องใช้ด้วยกระบอกไม้ไผ่ การสานด้วยเชือกมัดปอฝาง. และยังมีการส่งเสริมอาชีพที่มีในท้องถิ่นที่ทำอยู่เป็นประจำผลักดันให้มีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อการกระจายรายได้สู่คนในชุมชนเช่นการการทำเชื้อเห็ดวาง
ด้านการปกครอง
มีการร่วมกลุ่มการป้องกันและแก้ไข้ปัญหายาเสพติด โดยมีการออกตรวจปัสสาวะในกลุ่มเสียงโดยชุมชมเป็นผู้ดำเนินการเอง โดยมีการกำหนดระยะเวลาและวิธีการ มีการประชุมและวางแผนกำหนดกติกาของหมู่บ้าน เพื่อให้เดินทางไปในทิศทางเดียวกัน
นับว่าชุมชนบ้านทุ่งโพ. หมู่8 ต.ทุ่งโพ อ.หนองฉาง. จ.อุทัยธานีนับว่าเป็นชุมชนที่เข้มแข็งด้วยตนเองที่พร้อมจะขับเคลื่อนชุมชนตนเองเดินหน้า เป็นที่น่าสนใจในการศึกษาดูงานเป็นอย่างมาก
ถ้าหน่วยงานใดต้องการจะศึกษาดูงานได้ที่ 086-0782600 ผู้ใหญ่บ้าน หมู่8 บ้านทุ่งโพ
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ร้านอาหาร ที่ The walk นครสวรรค์
ร้านอาหารที่ ห้าง The walk นครสวรรค์ มีเปิดร้านอะไรบ้าง...สำหรับใครต้องการทานอาหารในห้าง The walk นะคะ
จากที่ได้ลองไปเดิน สำรวจดูมาสัก รอบสอง มีร้านใหม่ๆ มาเปิดอยู่บ้าง ประมาณ 3 ร้านคะที่ที่เมือง นครสวรรค์ของเรายังไม่มี เปิดมานะคะ.มาดูสำหรับร้านแรก กันเลยคะ ^_^
.............ร้านที่ 1.ร้านอาหาร ฟูจิ คะ เชื่อได้ว่าต้องเป็นร้านใหม่แน่ๆ สำหรับเมืองนครสวรรค์ ของเราคะ เพราะยังไม่มีเปิดที่ไหนของ นครสวรรค์ คะ แต่ของบอกว่าช่วงนี้นี้คนเยอะมาก ถึงกับยืนรอรับบัตรรับประทานอาหารเข้าคิวกันเลยที่เดียว ที่แรกเราก็ไปยืนมองจะเข้าไปทาน พอได้รับบัตรจากพนักงานบอกว่าพี่คะ อีก 5 คิว นะคะ รอก่อน โอโห้นานจัง..แต่เราหิวมากจึงคืนบัตรก่อน แล้วค่อยมารอบหลังก็แล้วกันนะ .."*"
..............ร้านที่ 2. โออิชิ ร้านนี้ก็เยอะเหมือนกัน แน่นอีกร้านหนึ่ง คนยืนรอเหมือนกันเราก็เดินเลย ไปตามระเบียบ คิดไว้ว่า ฝากไว้ก่อนแล้วกัน เธอคงไม่หนีฉันไปไหน##
..............ร้านที่ 3. ตำมั่ว คนแน่อีกเช่นกัน แต่ก็ยังพอมีพื้นที่เข้าไปนั่งทานได้คะ
..............ร้านที่ 4 ชาบูชิ ร้านนี้คนยืนรอกันยาวมากกกกกก ถึงชื่อร้านจะไม่ใหม่เคยมีแล้วในบิ๊กซี 1 แต่นั้นนี้แปลกตรงที่เป็น การตักอาหารแบบสายพานคะ ก็เลยทำให้คนเยอะไปตามระเบียบ...
..............ร้านที่ 5 เป็นร้านอาหารเกี่ยวกับสลัด คะ ต้องขอโทษจริงจำชื่อร้านไม่ได้จ้าา
..............ร้านที่ 6 คือร้าน MK ที่เรารู้จักกันดี อันนี่ก็เยอะเหมือนกันคะถึงขนาดมีคนนั่งรอ
.............ร้านที่ 7 จะเป็นอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ใช้ KFC เจ้าไก่ไม่มีกระดูกที่จะโผล่แทบทุกที่ ที่มีห้างเปิดคะ
ส่วนร้านของกินอื่นก็มีเหมือนทั่วๆไปคะ เดินวนดูได้คะ อยู่ชั้นล่างของ The Walk คะ และคิดว่าจากวันนี้ไปคงจะอีกนานสักหลายเดือนที่ห้างนี้คนยังเยอัอยู่เพราะยังเป็นของใหม่สำหรับคนนครสวรรค์อยู่คะ.....ถ้าจะไปทานต้องอดใจรอนิดนึง และอย่าไปตอนหิวนะคะเพราะคิดว่าท่านคงจะไม่ได้กินแน่...เนื่องจากขี้ครานที่จะรอจ้าาา
จากที่ได้ลองไปเดิน สำรวจดูมาสัก รอบสอง มีร้านใหม่ๆ มาเปิดอยู่บ้าง ประมาณ 3 ร้านคะที่ที่เมือง นครสวรรค์ของเรายังไม่มี เปิดมานะคะ.มาดูสำหรับร้านแรก กันเลยคะ ^_^
.............ร้านที่ 1.ร้านอาหาร ฟูจิ คะ เชื่อได้ว่าต้องเป็นร้านใหม่แน่ๆ สำหรับเมืองนครสวรรค์ ของเราคะ เพราะยังไม่มีเปิดที่ไหนของ นครสวรรค์ คะ แต่ของบอกว่าช่วงนี้นี้คนเยอะมาก ถึงกับยืนรอรับบัตรรับประทานอาหารเข้าคิวกันเลยที่เดียว ที่แรกเราก็ไปยืนมองจะเข้าไปทาน พอได้รับบัตรจากพนักงานบอกว่าพี่คะ อีก 5 คิว นะคะ รอก่อน โอโห้นานจัง..แต่เราหิวมากจึงคืนบัตรก่อน แล้วค่อยมารอบหลังก็แล้วกันนะ .."*"
..............ร้านที่ 2. โออิชิ ร้านนี้ก็เยอะเหมือนกัน แน่นอีกร้านหนึ่ง คนยืนรอเหมือนกันเราก็เดินเลย ไปตามระเบียบ คิดไว้ว่า ฝากไว้ก่อนแล้วกัน เธอคงไม่หนีฉันไปไหน##
..............ร้านที่ 3. ตำมั่ว คนแน่อีกเช่นกัน แต่ก็ยังพอมีพื้นที่เข้าไปนั่งทานได้คะ
..............ร้านที่ 4 ชาบูชิ ร้านนี้คนยืนรอกันยาวมากกกกกก ถึงชื่อร้านจะไม่ใหม่เคยมีแล้วในบิ๊กซี 1 แต่นั้นนี้แปลกตรงที่เป็น การตักอาหารแบบสายพานคะ ก็เลยทำให้คนเยอะไปตามระเบียบ...
..............ร้านที่ 5 เป็นร้านอาหารเกี่ยวกับสลัด คะ ต้องขอโทษจริงจำชื่อร้านไม่ได้จ้าา
..............ร้านที่ 6 คือร้าน MK ที่เรารู้จักกันดี อันนี่ก็เยอะเหมือนกันคะถึงขนาดมีคนนั่งรอ
.............ร้านที่ 7 จะเป็นอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ใช้ KFC เจ้าไก่ไม่มีกระดูกที่จะโผล่แทบทุกที่ ที่มีห้างเปิดคะ
ส่วนร้านของกินอื่นก็มีเหมือนทั่วๆไปคะ เดินวนดูได้คะ อยู่ชั้นล่างของ The Walk คะ และคิดว่าจากวันนี้ไปคงจะอีกนานสักหลายเดือนที่ห้างนี้คนยังเยอัอยู่เพราะยังเป็นของใหม่สำหรับคนนครสวรรค์อยู่คะ.....ถ้าจะไปทานต้องอดใจรอนิดนึง และอย่าไปตอนหิวนะคะเพราะคิดว่าท่านคงจะไม่ได้กินแน่...เนื่องจากขี้ครานที่จะรอจ้าาา
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
Review เทคนิค บอกรัก แบบไม่ต้องเขิน (เขิล) ใน วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day 2014)
...วันที่ 14 กุมภาพันธ์..นับว่าเป็นเทศกาลบอกรัก
ที่ถูกกำหนดขึ้นให้คนรักหรือคู่รักกัน ไม่ว่าจะเริ่มต้นจีบกันใหม่ ๆ
หรือได้ครองรักกันมาอย่างยาวนานแล้ว ได้มีโอกาสให้บอกรักกันอย่างหวานชื่นอีกครั้ง..ใคร
ๆ ที่มีคู่เลิฟแล้ว คงอยากอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาพิเศษแบบนี้ใช่ไหมล่ะ...ลองคิดดูนะคะว่าวาเลนไทน์ ปี 2014 นี้ คุณได้เตรียมของขวัญสักชิ้น
ดอกไม้สักช่อ กับคำหวาน ๆ (แม้ว่ามันจะดูเลี่ยนก็ตาม..อิอิ)
ไว้ให้กับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง..ซึ่งรับรองถ้าคุณมีให้ อีกฝ่ายต้องประทับใจแน่
ๆ...
เอาละ..ที่นี้ลองมาดูวิธีบอกรัก
ซึ่งบางคนอาจจะยังนึกไม่ออก ก็เลยมีคำแนะนำวิธีบอกรัก ซึ่งอาจจะตรงใจกับใคร ๆ
สักคนหรือหลาย ๆ คน ซึ่งวันนี้มีวิธีบอกรักมาฝากเพื่อน ๆ เผื่อจะเป็นไอเดียให้หนุ่ม ๆ สาว ๆ เอาไปใช้บอกรักกับใครคนนั้น ดังนี้นะคะ..
๑.พูดตรง ๆ เลยว่า “รัก”
หมัดเด็ดสุดค่ะ...วิธีนี้
การันตี 100%
ได้ผลแน่นอน..จะใช้คำว่า”ผมรักคุณ” “รักนะ จุ๊ฟๆ” “รักจุงเบย” จะคำไหน ๆ ก็แล้วแต่
แต่คุณต้องแสดงความจริงใจ ผ่านสายตาอันบริสุทธิ์ของคุณ ให้กับคนที่คุณรักได้รับรู้หรือรู้สึกได้จริง
ๆ นะคะ..ถ้ารักจริง ดังคำที่บอกว่า “รัก”ออกไป อีกฝ่ายต้องม้วนเขิล..อาย
หน้าแดงอมชมพู..ยิ่งถ้าคนไหนปากหนัก ไม่เคยบอกรักแฟนเลย แต่แสดงอาการว่ารักว่าชอบ
และเอาใจใส่มาตลอด วาเลนไทน์นี้ ได้บอกรัก อีกฝ่ายรับรักคุณอย่างแน่นอนค่ะ...
๒.สิ่งของสื่อ “รัก”
ดอกกุหลาบสักดอกหรือสักช่อ
ตุ๊กตาน่ารักๆ ช็อคโกแลต หรือเครื่องประดับรูปหัวใจฯ..อย่างใดอย่างหนึ่ง..(สมัยมัธยม มีรุ่นน้องมอบนมตราหมีผูกโบว์รูปหัวใจสีชมพูให้ด้วยค่ะ..เขิลนิดนึงค่ะ)..เป็นสิ่งของสื่อรัก
ที่ใช้แทนคำพูดได้เป็นอย่างดี เป็นโอกาสที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ ได้เปิดใจให้แก่กัน
เหมาะสำหรับคนที่ไม่กล้าพูดหรือบอกตรง ๆ ..อ้อ..อย่าลืมเขียนข้อความหรือกลอนสั้น ๆ
บอกรัก ติดไปกับสิ่งของที่มอบให้คนรักคุณด้วยนะ เป็นการย้ำบอกว่า..รักคุณแล้วนะ
มอบใจให้แล้ว รับรักด้วยนะ..ประมาณนั้น..
๓.เทคโนโลยีบอก “รัก”
เข้ากับยุคกับสมัยนี้เลยค่ะ..เริ่มด้วยวิธีพื้น
ๆ เลยคือส่ง sms
แค่พิมพ์ข้อความสั้น ๆ ส่งไป คนอ่านก้อยิ้มแก้มปริ แล้วนะ...หรือไม่ก็บอกรักผ่านไลน์
(Line), Facebook Messenger, Tango, Wechat และอีกหลากหลายโปรแกรมหรือแอฟพลิเคชั่นต่าง ๆ แบบนี้ทันสมัย ทันใจ
เป๊ะเว่อร์ค่ะ
๔.ฝากเพลงบอก “รัก”
วิธีนี้ดูจะเชย ๆ
สักหน่อยนะ..แต่เชื่อไหมคะว่า..แฟนหนูส่งเพลงบอกความรู้สึกในใจจากยูทูป (youtube) ผ่านมาทางเฟสบุ๊ค...รู้สึกเขิลค่ะ..บ่องตง
นะคะ
วันนี้เรายังรักกันหวานซึ้งอยู่เลย..แต่สำคัญที่สุดคือ..เลือกเพลงให้โดนใจแฟนคุณนะคะ..เค้าชอบแนวเพลงแบบไหนต้องรู้..ส่งไปให้ต้องโดนใจเป๊ะเว่อร์..รับรองได้ผลชัวร์ค่ะ
๕.ย้อนยุคบอก “รัก”
คงจะเอะใจ ล่ะสิ
ทำไมต้องย้อนยุค..จะแนะนำวิธีบอกความในใจผ่านโปสการ์ด หรือจดหมาย
เขียนไปบอกรักแฟนคุณค่ะ..วิธีนี้ เขียนได้ยาวดีนะ..คนอ่านเค้าจะรู้ความในใจและรับรู้ความเป็นไปเป็นมาได้..แต่ต้องเตรียมการให้ดีนะ
ต้องเขียนและส่งให้กับคนรักของคุณ ได้อ่านในวันวาเลนไทน์ด้วยนะ..ส่งไวไปหรือช้าไป
ก็ไม่เข้าบรรยากาศค่ะ..
เอาละค่ะ..ลองเลือก 1 วิธีหรือมากกว่า
เพื่อบอกรักกับคนที่คุณรัก ในวันวาเลนไทน์ของปี 2014
นี้..แต่ไม่สงวนลิขสิทธิ์ที่จะใช้กับปีถัดๆ ไปนะคะ
ลองเลือกใช้ให้เหมาะสมกับคู่รักของคุณค่ะ..
สุดท้าย ฝากแง่คิดไว้นิดนึงนะคะว่า..เมื่อคุณได้รักใครสักคน
ได้มีโอกาสได้บอกรักกัน ได้ครองรักกันแล้ว..เมื่อตัดสินใจที่จะคบกัน
ขอให้ถนอมความรัก ถนอมน้ำใจกัน รักและเอาใจใส่ ดูแลซึ่งกันและกัน ให้อีกฝ่ายได้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ให้ความรักของคุณอบอวล หวานชื่น ยั่งยืนตลอดไปนะคะ และขออวยพรให้คู่รักทุกคู่
มีความสุข สมหวังในความรักด้วยค่ะ
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
รีวิว Mistine FINE FOUNDATION & FINE LOOSE POWDER
Mistine FINE FOUNDATION & FINE LOOSE POWDER

มาลองดูตัวแรกกันเลยนะคะ Mistine FINE FOUNDATION ลักษณะเนื้อ จะเป็นครีม พอลงสู่ผิดสิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ ความชุ่มชื้นคะ

พอเกลี่ยแล้วจะรู้สึกเหมือนมีน้ำมัน นิดๆ เกลี่ยแล้วเหนียวหน่อยๆคะ แต่รู้สึกชุ่มชื้นเหมือนได้รับการบำรุง แต่ความรู้สึกเหมือนจะหนักหน้าไปหน่อยนึงคะ

พอเกลี่ยให้ทั่วแล้ว ความเนียนใช้ได้เลยคะ แต่ติดอยู่หน่อย ไม่ค่อยปิดรูขุมขนเท่าไร (อันนี้เป็นความรู้สึกของตัวเอง คะ)
แต่ตัวนี้เขาไม่ด้มาเพียงตัวเดียวนะคะ เขามาเป็นคู่คะ กับ แป้งฝุ่น Mistine FINE LOOSE POWDER แป้งตลับกลมนี้จ้า

เนื้อแป้งละเอียดเบา สีเนื้อคะ


ตัวนี้พอลองทาลงทับไปบน FINE FOUNDATION แล้วบอกได้ 3 คำว่า เบา นุ่ม เนียน จ้าา

ความคิดเห็นของตัวเองนะคะ แป้งตัวนี้จะมีลักษณะสีเนื้อพอทาลงไปจะไม่ค่อยขาว OVER มากไปคะ แต่ไม่เหมาะกับคนผิวขาว สักเท่าไร พอทาไปจะออกมาคล้ำหน่อยคะ และไม่ค่อยช่วยในเรื่องของการปกปิดเท่าไรคะ แต่ความเนียน ความนุ่ม ความชุ่มชื้นใช้ได้เลยจ้า...
วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เที่ยวน่าน ไม่มีรถ พระธาตุแช่แห้ง
ประสบการณ์เที่ยวน่าน แบบชิวๆไม่มีรถ ไม่ได้เตรียมตัว
เรื่องเกิดจากวันว่าง เสาร์ - อาทิตย์ ไม่รู้จะไปไหน แต่อยากเที่ยวจึงไปที่ศูนย์ท่ารถพิษณุโลกกับเพื่อนคนหนึ่ง ตกลงกันว่าถ้ารถคันไหนออกก่อนเราจะเที่ยวที่นั้นกัน นังรอประมาณสักครู่ มีรถจังหวัดน่านจะออก เราเลยวิ่งซื้อตั๋วเดินทาง นี่แหละที่เราจะไป 555

ได้ตั๋วเดินทาง เตรียมตัวมุ่งหน้าสู้เมืองน่านกัน
เดินทางมาได้ประมาณ 2 ชม.จอดแวะพักที่อุตรดิตเพื่อให้เข้าห้องน้ำกัน
เดินทางต่ออีกประมาณ 2 ชม. ไปจอดที่แพร่เพื่อให้เขาห้องน้ำอีก
ที่แรกตัดสินใจจะลงจังหวัดแพร่ แต่ซื้อตั๋วมาน่านแล้วนั่งต่ออีกหน่อยดีกว่า ชะตาคงกำหนดมา
เดินทางมาอีกประมาณ 2 ชม. ก็มาถึง บขส. น่าน ประมาณ 2 ทุ่ม ขอบอกว่าเงียบมาก ผิดกับพิษณุโลกเลยถามคนขับรถว่าถ้าไปอีกจะไปจอดที่ไหน เขาบอกว่าบ้านหลวง หรือ ทุ่งช้าง อะไรนี่แหละจำไม่ได้ เลยไม่เสียงดีกว่า ลงมันที่นี่แหละอย่างไงมันก็ยังเป็นตัวเมืองถึงจะเงียบมากก็เถอะ (น่ากลัวเลยแหละ) ดึกแล้วหาที่พักก่อนดีกว่า

พอลงจากรถได้เราก็มุ่งหน้าไปดูแผนที่ของจังหวัดก่อนเพื่อว่างแผนเดินทางในวันพรุ่งนี้
(ลืมบอกเรามากัน สองสาวคะ แถมไม่ได้เตรียมกระเป๋าเสีื้อผ้ากันมาด้วย อิอิ )
สักพักก็มีชายหนุ่มใส่ชุดทหารเดินมาที่เราสองคนแล้วถามว่าจะไปไหนกันหรอ ตอบไปว่าไม่รู้จะไปไหน
พูดคุยสอบถามที่มากัน ทราบว่าเขาเป็นคน จังหวัดอุดรธานี มาแข่งบอลสัมพันธ์ของกองเขาแหละ พี่ที่ไปกับเราก็เป็นอีสานด้วยเลยเว้าภาษาใส่กันสนุกเลย 555
พี่ทหารก็ชวนเดินไปที่บ้านเพื่อนเพื่อไปเอารถจะพาเราไปหาที่พัก เราก็ใจง่ายกันจริงเดิมตามอีก ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนๆก็มาแล้ว ลองเสี่ยงดู พี่ที่ไปกับเราบอกกับพี่ทหารว่าคนอีสานเหมือนกันคงไม่หลอกกัน
เราก็เดินตามไปจนถึงร้านเพื่อนพี่ทหาร ยืนรออยู่หน้าร้าน กลัวเหมือนกันนะแต่ใจกล้า
สักพักพี่แกก็ออกมาพร้อมมอไซค์เพื่อนแล้วก็พาเรา ไปหาที่พัก กันก่อนคะ
ได้ห้องประมาณนี่เลยคะ จำชื่อไม่ได้คะว่าโรงแรมอะไร ราคาประมาณ 490 บาท พี่แกบอกว่าแถวนี่น่าจะปลอดภัยเพราะมีทหารมาพักแถวนี่กันเยอะ (เอ่ปลอดภัยจริงไหมเนี่ยทหารพวกพี่นะ ลองเสี่ยงดูแล้วกัน) แล้วพี่แกก็พาไปหาไรกิน พาไปวนดูพระแช่แห้ง สถานที่เที่ยวยามค่ำคืนสถานบันเทิง (เงียบมาก มีรถจอดหน้าร้านประมาณ 2 คันคงจะได้ ) เมืองนี่ช่างรักสงบจริง แต่ที่ชอบคือความเคารพกฎระเบียบคะ เราขี่ไปตรงสี่แยกไฟแดง เห็นลุงคนหนึ่งจอดรถอยู่ด้านหน้าเรา รถตรงนั้นก็ไม่มีนะคะ แกจอดรอไฟเขียวแล้วค่อยขับไป ถ้าเป็นบางคนนะไม่มีรถถึงจะไฟแดงก็เถอะขี่ผ่านไปแล้ว เที่ยวรอบเมืองที่เงียบสงบเสร็จแล้วรู้ว่าไม่มีที่เที่ยวตอนกลางคืน ประมาณ 4 ทุ่มเราก็เลยมาหาไรทานกัน ร้านอาหารปิดหมดแล้วคะ แต่โชคยังดียังมีร้านหนึ่งที่เปิด คือ........

ขอบคุณภาพจาก http://www.thaiweekender.com/index.php/nancitytour2.html
บะหมี่เกี้ยวปู จ้าาา ยังเปิดอยู่ โชคดีจังไม่ต้องทนหิวแล้วเราคืน พอทานกันเสร็จไม่รู้จะไปไหนแล้ว จึงเดินทางกลับห้องพัก พรุ่งนี้เช้าพี่ทหาร จะมารับเราตอน 6 โมงเช้า (หมดไปอีก 1 อย่างปลอดภัย)
คืนนี่เราซักแห้งกัน
เช้าวันที่ 2 ของเมืองน่าน
หลังจากที่เราคือกุญแจห้องแล้ว เราก็เดินตามทางออกมาเรื่อยๆ เพื่อรอพี่ทหารอากาศดีมากเลยคะตอนเช้า เดินมาก็เจอพี่แกระหว่างทางที่แรกพี่แกพาไปคือ.. สะพานข้ามแม่น้ำน่านคะ ที่เขาใช้จัดแข่งเรือ ที่นี่ตอนยามเช้าอากาศดีมากเลยคะ แล้วเราก็ไปหาอะไรทานกันที่ตลาด เย้ดีใจสุดได้เจอห้างสรรพสินค้าแล้ว เป็นร้านขายของทั่วไปคล้ายซุปเปอร์มาเก็ตคะ เราเลยซื้อกระเป๋าหนึ่งใบไว้ใส่ของทาน

มาเมืองน่านทั้งที่ก็ต้องขอกราบไหว้เป็นสิริมงคล กันสักหน่อย จร้าาา จากนั้นพี่แกก็ไปส่งเราที่ท่ารถ บขส. เพราะพี่แกต้องเตรียมตัวไปแข่งบอล เราก็ต้องเที่ยวกันเองแบบสองสาว สถานี่ต่อไปคือ อ.ปัว ค่าเพราะเขาบอกว่าที่นี่มีดอกไม้ชนิดหนึ่งสวยมากมีที่นี่ที่เดียว คือ ดอกภูคา เราอยากเห็นจึงมุ่งหน้าพิสูจน์

โดยนั่งรถเมล์ขึ้นไปประมาณ 2 ชม. จึงก็ไม่นานขนาดนี่นะคะแต่รถเมล์หวานเย็นคะ รถจอดที่ ตลาด อ.ปัว เราแหวะหาของกินของใช้

ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=aonbabu&date=12-01-2009&group=3&gblog=5
แล้วก็เดินมาที่ท่ารถสองแถวรอคนประมาณสิบคนเพื่อขึ้นดอยภูคา ประมาณเกือบชั่วโมงกว่าจะได้ออกเดินทาง

พอขึ้นไปถึงที่ดอยภูคาจะต้องเดินเข้าไปบนดอยแย่แล้วเราทางเดินเข้าต้อง 3 กม. นะแต่ก็มาเพื่อ
ดอกภูคา แล้วเดินก็เดิน พอถึงด่านต้องซื้อบัตรเข้าไป ก็มีรถยนต์คันหนึ่งขึ้นมาพอดี ซื้อบัตรพร้อมเราด้วย...
พี่สาวคนหนึ่งชะโงกผ่านหน้ากระจกรถมาถามว่าไปด้วยกันไหม...ตอบทันที่เลยค่าว่าหนู่ไปด้วยคนจ้าาา
เราขึ้นกะบะหลังไป เพราะพี่เขามากะแฟน กันสองคนเราเกรงใจ

สังพักเราก็มาถึงยอด ดอยภูคาแล้วเย้ๆๆ ไหนๆ ดอกภูคาที่เขาบอกกันว่าสวยอยู่ไหนเราเดินตามหากัน แล้วก็เจอต้นภูคา เงยหน้าขึ้นไปไม่เจอดอกเลยเราไปช่วงเดือน พฤศจิกา แต่ดอกภูคาแสนสวยบานตอนเดือน กุมภาพันธ์ แง่วๆเลย

อดดูดอกภูคาเลย แห้วแล้วงานนี่ แต่เราก็ยังไปเที่ยวที่อื่นต่อ โดยรถพี่สาวคนสวย กะแฟนหนุ่มใจดี ถามเราว่าจะไปไหนกันต่อ ตอบว่าไม่รู้คะ พี่เลยชวนเราไปด้วยกันไหม ....ตอบทันทีว่า......พี่ไปไหนหนูไปด้วย..จ้าาา 555
เราก็ติดรถพี่แกลงจากยอดดอยภูคาแวะไหวพระตามทางลง สักพักก็พกข้าวเหนียว หมูปิ้ง ผักต้ม น้ำพริก และปลาทู ที่เราซื้อมาจากตลาดในเมืองแกะกินหลังหลงอย่างอร่อยกันเลย อิอิ
แล้วพี่ทั้งสองคนก็จอดหาไรทานกันที่น้ำตก ชวนพวกเราแต่เรา จัดหนักตอนระหว่างทางกันแล้วเลยไปนังเล่นกันที่น้ำตก รอพี่ทั้งสองคน เพื่อเดินทางกลับเข้าเมืองน่าน
พอมาถึงเมืองน่านพี่สาวและชายใจดีพาเราไปเลี้ยงส้มตำ พี่สาวบอกว่า ร้านนี่เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่เลยนะแล้วก็เลื้ยงเราสองคน อร่อยจริงๆคะ ขอติดรถมายังใจดีเลี้ยงส้มตำเราอีก ใจดีที่สุดเลยยยย
ขอบคุณค่าาาาาา หลังจากทานอิ่มแล้วก็มาส่งเราที่ท่ารถ บขส. น่าน แล้วเราก็ซื้อแหนมของฝากก่อนกลับพิษณุโลก เข้าบอกว่าเป็นของฝากของจังหวัดน่านมาแล้วซื้อกลับหน่อย คริ คริ
ออ ส่วนพี่ทหารก็ยังโทรมาถามเราเป็นระยะ นะคะ จนเราขึ้นรถเมล์กลับถึงพิษณุโลกอย่างปลอดภัย เวลา เที่ยงคืนพอดีจ้า
.......จบทริปนี่สนุกมากคะ อยากให้มองอีกมุมของน้ำใจคนไทยยังมีคนที่ดีอยู่อีกเยอะ เคยเจอแต่ข่าวร้ายแต่ที่พบเจอครั้งนี้ได้เจอคนดี และเป็นทริปที่ประทับใจมากๆเลยคะ........
วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556
หยุด 2 วัน แบกกระเป๋า ขึ้นเขาค้อ (ไม่มีรถ)
เริ่มจากวันหยุดที่ว่างจากการทำงาน เรา 3 สาว (โสด) อิอิ เลยตรงลงกันว่าจะไปเที่ยวกว่าจะลงเอยกันได้ว่าเป็น เขาค้อเพชรบูรณ์ก็หาข้อมูลกันนานโขเลยที่เดียว เพราะเรามีรถยนต์นะคะ แต่ไม่มีคนขับขึ้นเขาได้ต้องแบกเป้กันไป อิอิ
หลังจากที่เราเก็บสัมภาระใส่กระเป๋ากันไว้ตั้งแต่คืนวันพฤหัสบดี หลังจากเลิกงานกัน 4 โมงเย็นของวันศุกร์ เราได้แบกกระเป๋าขอติดรถพี่ที่ทำงานเข้าในตัวเมืองของจังหวัดนครสวรรค์ (ออพวกเราทำงานติดเขาเหมือนกันคะแต่ก็อยากเที่ยวภูเขาที่อื่นบ้าง )
............วันนี่ก็แค่อยากเราประสบการณ์เดินทาง การต่อรถมาฝากกันคะ
เริ่มจากวันแรกเลยแล้วกันนะคะ
ถึงตัวเมืองนครสวรรค์ ก็ประมาณ 5 โมงกว่าไม่ทันรถ นครสวรรค์-เพชรบูรณ์ เที่ยวสุดท้ายหมด ตอน 4 โมงเย็น เลยกินแห้วเลยเรา จึงนั่งรถตู้ไป พิษณุโลก เพื่อจะทัน รถพิษณุโลก-เพชรบูรณ์
จากนครสวรรค์ - พิษณุโลกก็ประมาณ 6 โมงกว่า (ค่ารถคนละ 100 บาท) เราไม่เสี่ยงกันที่จะไปลงศูนย์ท่ารถพิษณุโลก จึงหาโรงแรมพักกันก่อน ที่โรงแรมริมนานข้างวัดใหญ่ ราคาก็ไม่แพงเท่าไรห้องก็สะอาดพอได้ มีทีวี ตู้เย็น แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น (ราคาคืนละ 400 บาท)
พอเราได้ที่พักก็เริ่มหิวกันแล้วจึงเดินไปหาไรกินกันแถวนั้นมีห้างท๊อปแลนด์ แล้วก็แวะไปกันไปซักหน่อยกินติมกันนิดหนึ่ง แล้วเดินสำรวจรอบเมืองพิษณุโลก ผ่านวงเวียนหอนาฬิกา สถานีรถไฟ ตลาดไนท์ตอนกลางคืน เดินรับลมมาตามริมแม่น้ำน่าน และเข้าห้องพักเวลา เวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่านิดๆ(หมดไป1วัน)
วันที่ 2 ของการเดินทางมุ่งหน้าสู่เขาค้อ เพชรบูรณ์
ตื่นเตรียมตัวกันตั้งแต่ ตี 4 เริ่มออกเดินทางกันตอนตี 5 (ตื่นเต้นกลัวไม่ทันรถเที่ยวแรก)
ออกจากศูนย์ท่ารถพิษณุโลก เที่ยว 6 โมงเช้า รถพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ (ค่ารถประมาณ 60 บาท) เหมือนรอบนี่จะได้รถร่วมนะคะ ขอบอกว่าหวาดเย็นเลยละ ถ้าไม่รีบชอบนั่งดูบรรยากาศได้ฟินเลยละคะ
รถจะผ่าน Rout 12 เป็นร้านกาแฟ ขนมหวานและสถานที่ ถ่ายรูป วิวสวยมากเลยคะ
![]() |
และผ่าน ค้อ อิน เลิฟ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งของการพักผ่อนและถ่ายภาพเหมือนกันคะ มีการให้อาหารแกะ ถ้าใครยังไม่เคยเห็น แกะดำลองไปดูกันว่าเปงอย่างไร (ตอนไปเราไม่ได้แวะหรอกคะแวะได้ตอนกลับเจ้าของรีสอร์ทที่เราไปพักเขาพามาส่งขึ้นรถเลยพาเที่ยวคะ)

เรานั่งรถมาลงกันที่สามแยกแคมป์สน ประมาณ 7 โมงกว่า ท้องเริ่มประท้วงว่าหิวข้าวจึงเดินหาข้าวทานกันแถวนั้นก่อน ทานข้าวอิ่มก็เปิดสมุดหาเปิดโทรรถส้มพาขึ้นเขาค้อ (ได้เบอร์มาจากเน็ตคะ) แต่ขอแนะนำนะคะให้ถามจากร้านแถวนั้นจะดีกว่าคะ เพราะเขาจะบอกราคาให้เราก่อนคะ (ค่ารถส้มขึ้นเขาค้อเหมากันไป 3 คน 800 บาท ) ป้าร้านข้าวบอกว่าแถวนี่เขาคิดกันแค่ 600 บาทเท่านั้นแหละ เซ็งเลยเรา
แล้วเราก็รอรถจนถึงประมาณเกือบ 9 โมงเช้า ลุงแกบอกว่าต้องตีรถมาจากหล่มสักเลย
พอลุงขับรถมาที่แรกที่ไป วัดผาซ่้อนแก้ว สวยมากคะและมีที่ถ่ายรูปสวยๆเยอะเลย

ลงจากวัดผาซ่อนแก้วลุงขับรถก็พาเราขึ้นไป พระตำหนักเลยคะ ที่นี่ก็จะเป็นภาพธรรมชาติ มีสวนต้นสน และดอกไม้บ้างชนิดคะ

และก็พามาหอสมุด นานาชาติคะ ที่นี่จะเน้นดอกไม้เยอะหน่อยคะ ค่าเข้าชม 20 บาทต่อคน


แล้วก็มาต่อที่ พิพิธภัณฑ์อาวุธ ค่าเข้าชมคนละ 20 บาทคะ ที่มีอาวุธสมัยโบราญ มีรถถัง เครื่องบิน ปืน ให้เด็กๆไว้ขึ้นและถ่ายรูป ถัดไปข้างบนหน่อยก็จะเป็นอนุสรณ์ผู้เสียสละที่เสียชีวิตสมัยสงคราม


และสถานีสุดท้ายของวันนี่ก็คือ....พระบรมธาตุเจดีย์ฯ ข้างในพระบรมธาตูเจดีย์จะมีพระบรมสารีริกธาตุ และรูปหล่อพระ และ พระประจำวันเกิดแต่ละวัดคะ เข้าไปก็จะมีที่แรกเหรียนไว้ทำบุญ เขาจะให้เราจุดเทียนบูชา มีดอกไม้ ธูปเทียนคะ ไหว้เสร็จแล้วออกมาตีระฆัง แล้วลองนับกันดูนะคะว่าระฆังที่ตีกันนั้นมีกี่ใบ เสียดายมากเลยคะวันนี่เราไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตกศรีดิษฐ์กัน ถ้าได้ไปกันลองสอบถามคนขับรถกันก่อนนะคะ เพราะบ้างที่เขาพาไปคะ แต่ลุงแก่ไม่พาไปคะ จ่อยแลย
ถ้าอยากดูภาพเพิ่มเติม ตามมาลิงค์นี้ได้เลยคะhttp://www.khaoko.com
เราก็เลยให้ลุงพามาส่งที่พัก ณ.

รีสอร์ท กินลม ชมดาวที่เขาค้อคะที่นี่นะคะสถานที่สวยมากคะ ผู้จัดการเป็นกันเอง รับการจัดเลี้ยงสัมนาถ้าต้องการคาราโอเกะ ติดต่อได้เลยคะ มีห้องพักให้เลือกเช่าได้หลายแบบคะ รวมทั้งเต้นท์เช่าด้วยคะ

ห้องนี่จะเป็นลักษณะคลายห้องแถวคะ ติดกัน สีห้องคะอยู่ด้านบน

ส่วนห้องนี้นะคะจะมีห้องใต้หลังคาด้วยคะ บอกได้เลยว่าสุดยอดจ้า แบบรูปล่างเลยคะ มีห้องสีส้ม กับสีฟ้าคะตอนที่ไปเจ้าของรีสอร์ทให้เราได้เขาชมทุกห้องเลยคะ อิอิ


หลังจากที่เราพักที่รีสอร์ทกินลมชมดาวได้ 1 คืน ตอนเช้าที่นี้มีข้าวต้ม และเครื่องดื่มไว้บริการด้วยคะ เราได้รับการบริการจากเจ้าของรีสอร์ทพาเรามาขึ้นรถ ที่แคมป์สนต่อรถกลับบ้านก่อนกลับเจ้าของรีสอร์ทก็พาเราแวะไร่บีเอ็มและซื้อของฝากกลับบ้านคะ ก่อนจะขึ้นรถพวกเราก็ขอเลี้ยงอาหารกลางวันเจ้าของรีสอร์ทกินลมชมดาว สัก 1 มื้อก่อนขึ้นรถกลับบ้าน เวลา ประมาณ บ่ายโมงครึ่งคะค่ารถจากแคมสนป์ คนละ 100 บาท ถึง พิษณุโลกก็ประมาณบ่ายสามโมง แล้วก็ต่อรถกลับนครสวรรค์ ค่ารถ 100 บาท ต่อรถจากนครสวรรค์ มาแม่วงก์ อีก คนละ 100 บาท คะ ถึงแม่วงก์ก็ประมาณ 3 ทุ่มกว่าได้อย่างปลอดภัย
ทริปนี้เราเสียค่าใช้จ่ายไปคนละ รวมค่ากิน และค่าเดินทาง คนละ 1200 บาทจร้า เป็นทริปที่สุดมากเลยครั้งนี้จ้าาา
แล้วเราก็รอรถจนถึงประมาณเกือบ 9 โมงเช้า ลุงแกบอกว่าต้องตีรถมาจากหล่มสักเลย

พอลุงขับรถมาที่แรกที่ไป วัดผาซ่้อนแก้ว สวยมากคะและมีที่ถ่ายรูปสวยๆเยอะเลย

ลงจากวัดผาซ่อนแก้วลุงขับรถก็พาเราขึ้นไป พระตำหนักเลยคะ ที่นี่ก็จะเป็นภาพธรรมชาติ มีสวนต้นสน และดอกไม้บ้างชนิดคะ

และก็พามาหอสมุด นานาชาติคะ ที่นี่จะเน้นดอกไม้เยอะหน่อยคะ ค่าเข้าชม 20 บาทต่อคน


แล้วก็มาต่อที่ พิพิธภัณฑ์อาวุธ ค่าเข้าชมคนละ 20 บาทคะ ที่มีอาวุธสมัยโบราญ มีรถถัง เครื่องบิน ปืน ให้เด็กๆไว้ขึ้นและถ่ายรูป ถัดไปข้างบนหน่อยก็จะเป็นอนุสรณ์ผู้เสียสละที่เสียชีวิตสมัยสงคราม


และสถานีสุดท้ายของวันนี่ก็คือ....พระบรมธาตุเจดีย์ฯ ข้างในพระบรมธาตูเจดีย์จะมีพระบรมสารีริกธาตุ และรูปหล่อพระ และ พระประจำวันเกิดแต่ละวัดคะ เข้าไปก็จะมีที่แรกเหรียนไว้ทำบุญ เขาจะให้เราจุดเทียนบูชา มีดอกไม้ ธูปเทียนคะ ไหว้เสร็จแล้วออกมาตีระฆัง แล้วลองนับกันดูนะคะว่าระฆังที่ตีกันนั้นมีกี่ใบ เสียดายมากเลยคะวันนี่เราไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตกศรีดิษฐ์กัน ถ้าได้ไปกันลองสอบถามคนขับรถกันก่อนนะคะ เพราะบ้างที่เขาพาไปคะ แต่ลุงแก่ไม่พาไปคะ จ่อยแลย
ถ้าอยากดูภาพเพิ่มเติม ตามมาลิงค์นี้ได้เลยคะhttp://www.khaoko.com
เราก็เลยให้ลุงพามาส่งที่พัก ณ.

รีสอร์ท กินลม ชมดาวที่เขาค้อคะที่นี่นะคะสถานที่สวยมากคะ ผู้จัดการเป็นกันเอง รับการจัดเลี้ยงสัมนาถ้าต้องการคาราโอเกะ ติดต่อได้เลยคะ มีห้องพักให้เลือกเช่าได้หลายแบบคะ รวมทั้งเต้นท์เช่าด้วยคะ

ห้องนี่จะเป็นลักษณะคลายห้องแถวคะ ติดกัน สีห้องคะอยู่ด้านบน

ส่วนห้องนี้นะคะจะมีห้องใต้หลังคาด้วยคะ บอกได้เลยว่าสุดยอดจ้า แบบรูปล่างเลยคะ มีห้องสีส้ม กับสีฟ้าคะตอนที่ไปเจ้าของรีสอร์ทให้เราได้เขาชมทุกห้องเลยคะ อิอิ


หลังจากที่เราพักที่รีสอร์ทกินลมชมดาวได้ 1 คืน ตอนเช้าที่นี้มีข้าวต้ม และเครื่องดื่มไว้บริการด้วยคะ เราได้รับการบริการจากเจ้าของรีสอร์ทพาเรามาขึ้นรถ ที่แคมป์สนต่อรถกลับบ้านก่อนกลับเจ้าของรีสอร์ทก็พาเราแวะไร่บีเอ็มและซื้อของฝากกลับบ้านคะ ก่อนจะขึ้นรถพวกเราก็ขอเลี้ยงอาหารกลางวันเจ้าของรีสอร์ทกินลมชมดาว สัก 1 มื้อก่อนขึ้นรถกลับบ้าน เวลา ประมาณ บ่ายโมงครึ่งคะค่ารถจากแคมสนป์ คนละ 100 บาท ถึง พิษณุโลกก็ประมาณบ่ายสามโมง แล้วก็ต่อรถกลับนครสวรรค์ ค่ารถ 100 บาท ต่อรถจากนครสวรรค์ มาแม่วงก์ อีก คนละ 100 บาท คะ ถึงแม่วงก์ก็ประมาณ 3 ทุ่มกว่าได้อย่างปลอดภัย
ทริปนี้เราเสียค่าใช้จ่ายไปคนละ รวมค่ากิน และค่าเดินทาง คนละ 1200 บาทจร้า เป็นทริปที่สุดมากเลยครั้งนี้จ้าาา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)